วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โคลีน และ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์

โคลีน และ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์

สรุปคุณสมบัติของโคลีน

1. เป็นสารอาหารที่จำเป็น และช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่น ความจำ และการทำงานของกล้ามเนื้อ

2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ

3. ช่วยในการทำงานของตับให้เป็นปกติ การขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทำให้มีไขมันสะสมในตับ และนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ

สรุปคุณสมบัติของ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์


1. ช่วยในการทำงานของระบบประสาททั้งหมดในร่างกาย

2. ช่วยรักษาโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินบี เช่น เหน็บชา เส้นประสาทอักเสบ ตากระตุก ปากนกกระจอก ผิวหนังหยาบ ผิวหนังอักเสบ ลิ้นอักเสบ และโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี

โคลีน

โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างของผนังเซลล์ (Structural integrity of cell membranes) เมตาบอลิสมของเมธิล (Methyl metabolism) การส่งผ่านของกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) การส่งสัญญาณผ่านผนังเซลล์ (Transmembrane signaling) และ เมตาบอลิสม กับ การขนส่ง ของไขมันและโคเลสเตอรอล

โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่ง Acetylcholine นี้เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่น ๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้น โคลีนจึงมีผลต่อขบวนการส่งกระแสประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการรับรู้ เรียกได้ว่ามีบทบาทในพัฒนาการด้านการเรียนรู้ โดยเฉพาะระบบความจำ รวมถึงมีการศึกษาในการใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s disease) ด้วย

บทบาทสำคัญอีกประการหนึ่งของโคลีนคือ ทำให้ตับสามารถทำการขนถ่ายไขมันได้ (Fat transportation) และลดการสะสมไขมันในตับ (Hepatic steastosis) การทดลองในหนูพบว่า หากขาดโคลีนก็จะเกิดการสะสมไขมันที่ตับ การศึกษาวิจัยในคน ก็พบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด และมีการขาดโคลีนก็จะเพิ่มไขมันสะสมในตับเช่นกัน และยังมีระดับเอนไซม์ของตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการของภาวะตับอักเสบอีกด้วย และเมื่อได้รับ โคลีนก็จะลดการสะสมไขมัน และลดการอักเสบของตับได้จริง สำหรับสัตว์ทดลอง เช่น หนู สภาวะที่ตับมีไขมันสะสมนี้ ยังร่วมไปกับ เพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งที่ตับได้ ในทางกลับกัน เมื่อหนูทดลองเหล่านี้ได้รับ โคลีน เสริม ก็ลดการเกิดมะเร็งในตับได้เช่นกัน

นอกจากประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โคลีน ยังมีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจด้วย


ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ มีรายงานการวิจัยถึงผลกระทบของการขาดโคลีนในมนุษย์ว่าจะมีผลทำให้ปริมาณโคลีนลดลงและเกิดความเสียหายต่อตับได้

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ คืออะไร

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ หรือ วิตามินบีรวมเป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆ ช่วยบำรุงร่างกาย ผิวหนังและระบบประสาท วิตามินบีรวมประกอบด้วย วิตามินบี1 (Thiamine), วิตามินบี 2 (Riboflavin), วิตามินบี 3 (Niacin), วิตามินบี 5 (Pantothenic acid), วิตามินบี 6 (Pyridoxin), วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) นอกจากนี้ยังมี กรดโฟลิค (Folic acid) โคลีน (Choline) อิโนซิทอล (Inositol) และไบโอติน (Biotin) อีกด้วย

วิตามินบีต่าง ๆ มีหน้าที่ดังต่อไปนี้

วิตามินบี1 (Thiamine) มีความสำคัญต่อเมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรต

หากขาดจะทำให้เกิดโคเหน็บชา และจะแสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทางระบบประสาทจะมีอาการชาตามมือตามเท้า ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ส่วนอาการทางสมองพบว่า เนื้อสมองจะถูกทำลาย ผู้ป่วยจะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า กระสับกระส่าย ทางระบบหัวใจและหลอดเลือดพบว่า หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หัวใจมีขนาดโตขึ้นและมีความผิดปกติของการบันทึกคลื่นหัวใจ

วิตามินบี2 (Riboflavin) มีความจำเป็นต่อการหายใจของเซลล์เมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เป็น co-enzyme ในการเปลี่ยนวิตามินบี 6 และกรดโฟลิค ให้อยู่ในรูป active ทั้งยังทำหน้าที่รักษาสภาพของเยื่อบุผิวและ mucosa ให้เป็นปกติ

หากขาด จะมีอาการแสดงทางตา ริมฝีปากและผิวหนัง เริ่มแรกนั้นริมฝีปากจะอักเสบ แห้งและแตก มุมปากจะซีด แตก เรียกลักษณะดังกล่าวว่าปากนกกระจอก (Angular stomatitis) และเมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการทางผิวหนัง ใบหน้ามีสะเก็ดมัน ๆ ต่อมาจะมีอาการอักเสบของตา ตาสู้แสงไม่ได้ คันตาและแสบลูกตา


วิตามินบี 3 (Niacin) มีบทบาทในกระบวนการ Glycolysis, Krebs cycle และการสังเคราะห์กรดไขมัน

หากขาด จะมีผลต่อระบบประสาท โดยมีผลต่อระบบประสาทส่วนปลาย ไขสันหลัง และสมอง เช่น ปลายประสาทอักเสบ ซึ่งอาจมีอาการคลุ้มคลั่ง ชักและหมดสติก่อนตาย รวมถึงยังมีผลต่อระบบผิวหนัง ทำให้มีลักษณะผิวหนังหยาบ เป็นจ้ำสีม่วงหรือเข้ม นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่มีร่องแตกที่บริเวณริมฝีปาก เยื่อบุลิ้นจะฝ่อ ลีบ มีอาการอักเสบของลำไส้เล็กและมีเลือดออก ท้องเดิน

วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) มีความเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายหลายอย่าง เช่น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต การสร้างกลูโคส การสังเคราะห์กรดไขมัน และเสตียรอยด์ฮอร์โมน

หากขาด อาจจะมีอาการปวดท้อง อาเจียนและเป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนตัวลง อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ


วิตามินบี 6 (Pyridoxine) เป็น co-enzyme ที่จำเป็นต่อการผลิตสารสื่อประสาทหลายชนิด มีความสำคัญต่อปฏิกิริยาทั้งหมดในเมตาบอลิสมของกรดอะมิโน มีบทบาทในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง

หากขาด จะพบอาการโลหิตจาง อ่อนเพลีย เป็นแผลที่มุมปาก ริมฝีปากอักเสบ ชาปลายมือปลายเท้า ผิวหนังเป็นจ้ำ ๆ สีม่วง และมีอาการทางประสาท เช่น มีความคิดสับสน ซึมเศร้า และอาจจะเกิดอาการชักได้

วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) มีบทบาทในเมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน รวมถึงมีบทบาทในการเจริญ การแบ่งตัวของเซลล์ และการสังเคราะห์สารที่หุ้มเส้นประสาท (myelin) ด้วย

หากขาด จะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารเนื่องจากมีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ผิว โดยเฉพาะเยื่อบุทางเดินอาหาร เช่น ทำให้ลิ้นอักเสบ และมีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุตลอดทางเดินอาหาร และเนื่องจากมีความสำคัญต่อการสร้างสารที่หุ้มเส้นประสาท (myelin) ดังนั้น ผู้ที่ขาดจะทำให้มีอาการทางประสาท เช่น ชาตามมือและเท้า เมื่อเป็นมากขึ้นจะมีอาการสับสน ประสาทหลอนได้ รวมถึงมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตอย่างปกติของเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดวิตามินชนิดนี้ จะทำให้โลหิตจาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น